หน้าหลัก
สินค้า
รถยนต์ทั่วไป (PASSENGER CAR)
รถยนต์อเนกประสงค์ (SUV)
รถยนต์กระบะเล็ก/รถแวน (LIGHT TRUCK/VAN)
รถยนต์กระบะใหญ่และรถบรรทุก (TRUCK&BUS)
ดูแลรักษา
เกี่ยวกับเรา
ทำไมต้องเลือก?
เกี่ยวกับ จีที เรเดียล
ติดต่อเรา
PARTNER OEM
การดูแลรักษายาง
หน้าหลัก
>>
การดูแลรักษายาง
>> การดูแลรักษายาง
Quick Links:
วงจรการดูแลรักษา
การใช้พลังงานเชื้อเพลิง อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีการตรวจเช็คสภาพยางทั่วไป
วิธีตรวจเช็ค แรงดันลมยาง
การถอด-ใส่ยาง ที่ถูกวิธี
การสลับยางที่ถูกวิธี
การตั้งศูนย์ล้อ
การถ่วงสมดุลล้อ
ควรเปลี่ยนยางเมื่อใด
ยางมือสอง
พฤติกรรมการขับขี่ ส่งผลต่ออายุการใช้งานของยาง
สิ่งที่ควรทำ เมื่อรับรู้ถึงอาการสั่นสะเทือน
สิ่งที่ควรทำ เมื่อรถมีอาการดึงไปทางใดทางหนึ่งขณะขับขี่
กรณีล้อหมุนฟรี
วงจรการดูแลรักษา
วิธีการดูแลรักษา :
ตรวจวัดและปรับแรงดันลมภายในอยู่เสมอ
ระยะเวลาที่เหมาะสม :
ตรวจเช็คทุกๆ 2 เดือนหรือเมื่อพบความผิดปกติ
การใช้พลังงานเชื้อเพลิง อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อแนะนำ ที่จะช่วยคุณประหยัดพลังงาน และเงินในกระเป๋า
1. แรงดันอากาศภายในที่เหมาะสม
ในกรณีที่บรรทุกน้ำหนักเท่ากัน แรงดันอากาศภายในยางที่อ่อนกว่าจะส่งผลให้เพิ่มอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น
แรงดันลมยางต่ำลง: สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น: อายุการใช้งานของยางลดลง
แรงดันลมยางต่ำลง
สิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้น
อายุการใช้งานของยางลดลง
10%
2%
15%
20%
4.5%
28%
30%
6.25%
37%
2. เติมน้ำมันที่มีค่าออกเทน ที่เหมาะสมกับรถคุณ
ตรวจสอบน้ำมันที่มีค่าออกเทนที่เหมาะกับรถคุณได้ที่คู่มือประจำของรถคุณเอง การเติมน้ำมันที่มีค่าออกเทนสูงเกินความต้องการของเครื่องยนต ์จะทำให้คุณสิ้นเปลืองน้ำมันเหล่านั้นโดยเปล่าประโยชน์
3. ประหยัดมากขึ้น ด้วยการขับให้ช้าลง
การขับขี่ด้วยความเร็วที่ 88 กม./ชม เทียบกับความเร็ว 100 กม./ชม นั้นจะทำให้คุณสามารถประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นถึง 15% หรือค่อยๆเพิ่มความเร็วขึ้นเมื่อมีความจำเป็นไม่ควรเร่งความเร็วหรือเบรกอย่างกะทันหันเพราะจะทำให้เกิดการสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น
4. นำสิ่งของที่ไม่จำเป็น ออกจากรถ
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 45 กิโลกรัม จะส่งผลให้เครื่องยนต์ต้องใช้พลังงานเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอีก 1 ลิตร
5. เลือกใช้น้ำมันหล่อลื่นสำหรับเครื่องยนต์ ตามคำแนะนำของคู่มือประจำรถ
สามารถเพิ่มระยะทางการวิ่งในปริมาณน้ำมันเท่าเดิมได้ 1-2% และควรเลือกแบรนด์มีเครื่องหมายที่แสดงถึงความใส่ใจในการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วย
6. มีวิจารณญาณในการขับขี่
ค่อยๆเคลื่อนรถออกตัวช้าๆและหลีกเหลี่ยงการเบรกอย่างกะทันหัน เพราะเครื่องยนต์จะเผาผลาญเชื้อเพลิงมากที่สุดตอนสตาร์ทรถ ซึ่งถ้ามีการเหยียบคันเร่งเพิ่มเข้าไปจะทำให้เพิ่มอัตราการสิ้นเปลือง 2-3 เท่า
7. วางแผนล่วงหน้า ก่อนการเดินทาง
ค้นหาเส้นทางที่ดีที่สุดไม่ใช่เส้นทางที่สั้นที่สุดเพราะระยะทางที่สั้นนั้นอาจจะเต็มไปด้วยแยกต่างๆ และแยกสัญญาณไฟจราจรที่อาจจะทำให้เราใช้ระยะเวลาเดินทางนานขึ้นกว่าปกติ
8. หมั่นตรวจเช็คสภาพรถเสมอ
การบำรุงรักษาเครื่องยนต์ตามระยะที่คู่มือประจำรถได้แจ้งไว้ จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและคุ้มค่ากับเชื้อเพลิงที่เสียไป
9. เช็คสภาพวงล้อให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
เมื่อมีการบิดตัวหรือคดงอของวงล้อ จะทำให้การวิ่งทุกๆ 1 กิโลเมตรของรถยนต์ เกิดการเบี่ยงตัวออกไปทางด้านข้างเป็นระยะประมาณ 5เมตรซึ่งผู้ขับก็จะพยายามบังคับล้อให้รถกลับมาอยู่ทางตรงก็จะส่งผลให้เกิดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้
10. เลือกใช้ยางที่มีแรงเสียดทานต่ำ
เพราะในขณะที่รถกำลังวิ่งการหมุนของยางจะทำให้เกิดแรงบีบอัดอย่างมาก จนเกิดการขยายตัวของเนื้อยาง มีความร้อนสูงขึ้นและทำให้เกิดแรงต้านที่ตามมา
แรงดันลมยางที่เหมาะสม
คู่มือประจำรถคุณจะแสดงค่าแรงดันลมยางที่เหมาะสม ซึ่งน้ำหนักที่บรรทุกก็มีค่าความสัมพันธ์กับค่าแรงดันอากาศ เช่น ถ้ารถมีน้ำหนักบรรทุกที่มาก ค่าแรงดันลมยางต้องมากขึ้นตามไปด้วย
คำเตือน: กรุณาเช็คความดันลมยางในช่วงที่ยางเย็นตัว (ใช้งานมาน้อยกว่า 2 กิโลเมตรหรือรถที่จอดทิ้งไว้ อย่างน้อย 3 ชั่วโมง)
วิธีการตรวจเช็คสภาพยางทั่วไป
ดอกยางตื้น: ยางรถยนต์ที่ดอกยางสึกจนหมด
ถ้าต่ำกว่า หรือเท่ากับ 1.6 มิลลิเมตร ควรรีบเปลี่ยนอย่างทันที อาจก่อให้เกิดการลื่นไถลของรถและอาจเสียหายจากการตกหลุมต่างๆได้ ดังนั้นสภาพการสึกหรอของดอกยางจึงไม่ควรต่ำกว่า 1.6 มิลลิเมตร (เป็นความหนาเท่ากับสะพานยาง)
ปัญหาจากการสึกของดอกยาง: ถ้าต่ำกว่าหรือเท่ากับ 1.6มิลลิเมตร ควรรีบเปลี่ยนอย่างทันที
ปัญหารอง: ถ้าพบรอยเจาะเล็กๆจากหิน เศษแก้ว หรือเหล็กปักอยู่ ให้รีบเอาออกเพราะถ้าทิ้งไว้นานจนฝังแน่นลงไปจะทำให้เกิดอันตรายภายหลังได้ วิธีแก้ไข: 1. ถ้าคุณมียางอะไหล่ติดมาด้วยแนะนำให้เปลี่ยนทันที แล้วนำยางที่ชำรุดไปตรวจเช็คและแก้ไขที่ศูนย์บริการที่เชี่ยวชาญ 2. รอยถูกเจาะที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 6 มิลลิเมตรหรือน้อยกว่านั้น ยังสามารถซ่อมแซมได้ แต่ถ้ารอยเจาะมีขนาดที่ใหญ่กว่านั้นจะไม่สามารถซ่อมแซมได้อีก ควรตรวจสอบยางว่ามีรอยขีด เจาะ จากสิ่งของมีคมต่างๆหรือไม่ เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ควรตรวจสอบยางว่ามีอาการบวมที่ขอบยางหรือไม่โดยอาการบวมที่ขอบยางส่วนใหญ่เกิดจากการตกหลุม หรือการขับขี่ที่เบียดกับขอบถนนบวกกับแรงดันลมยางจากภายในจึงทำให้ยางบิดตัว ผิดรูป และเกิดอาการบวมขึ้นมา วิธีแก้ไข: ยางที่มีอาการบวมที่ขอบยางไม่สามารถซ่อมแซมได้แนะนำให้เปลี่ยนยางทันทีเมื่อพบการชำรุดภายนอกควรเปลี่ยนยางทันที! เพราะจะเกิดการรั่วซึมของลมยางภายในจึงควรตรวจเช็คสม่ำเสมอรวมไปถึงวาล์วขอบล้อด้วย ฝาปิดวาล์วลมยางช่วยป้องกันฝุ่นหรือของเหลวที่จะตกเข้าไปภายในยางเมื่อเปลี่ยนยางใหม่ควรเช็คฝาปิดลมยางนั้นให้มีขนาดพอดีกับวาล์วเติมลมยางการใช้ยางที่ชำรุดจะเป็นอันตรายอย่างมากถ้าเกิดอาการสั่นหรือปัญหาอื่นๆขณะขับขี่แนะนำให้จอดรถและเช็คอาการทันที ในกรณีถ้าไม่ทราบถึงสาเหตุการชำรุดจริงๆควรให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ตรวจสอบ
วิธีตรวจเช็ค แรงดันลมยาง
การตรวจเช็คความดันลมยาง ควรทำอย่างน้อยเดือนละ 1ครั้ง (รวมถึงยางอะไหล่ด้วย) ควรทำการตรวจเช็คในช่วงที่ยางเย็นตัวแล้ว (หรือจอดทิ้งไว้อย่างน้อย 3ชั่วโมง) ควรใช้เครื่องมือตรวจวัดเพื่อความแม่นยำในการเช็ค ข้อมูลค่าความดันอากาศภายในยางที่เหมาะสม สามารถตรวจสอบได้ที่คู่มือประจำรถ ประตูฝั่งคนขับ หรือฝาปิดถังน้ำมันของรถคุณ
ข้อมูลค่าความดันอากาศภายในยางที่เหมาะสม สามารถตรวจสอบได้ที่คู่มือประจำรถ ประตูข้างคนขับ หรือฝาปิดถังน้ำมันของรถคุณ
การเติมความดันลมยางที่เหมาะสมจะช่วยให้อัตราการเผาผลาญเชื้อเพลิงเป็นไปตามปกติ ดอกยางจะสึกหรอในระนาบที่เท่ากัน เพิ่มอายุการใช้งานประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากขึ้น
การถอด-ใส่ยาง ที่ถูกวิธี
ไม่ควรถอดหรือใส่ยางด้วยตัวเองควรให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนจัดการเพราะนอกจากจะเสี่ยงกับอันตรายต่อตัวเองแล้วยังอาจส่งผลอาจทำให้ยางและล้อเสียหายอีกด้วย
การสลับยางที่ถูกวิธี
การสลับยางได้อย่างเหมาะสมและถูกวิธี จะทำให้ดอกยางสึกหรอเท่ากัน ช่วยยืดอายุการใช้งาน และมีความปลอดภัยมากขึ้น
เราแนะนำให้คุณเข้าศูนย์บริการเพื่อสลับยาง หลังจากที่ใช้รถไปได้ระยะทาง 8,000-10,000กิโลเมตร และสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอยู่เสมอในการเปลี่ยนยางก็คือ ยี่ห้อ ขนาด และรูปแบบ ที่ต้องเหมือนกัน แต่รถในบางรุ่นยางชุดหน้า และชุดหลัง อาจะมีขนาดที่ไม่เท่ากัน
ตัวอย่างการสลับยาง:
การตั้งศูนย์ล้อ
รถยนต์ทุกรุ่นจะถูกออกแบบมาให้ล้อ มีองศาตั้งฉากในแบบต่างๆ เพื่อรองรับการวิ่งบนพื้นถนนในลักษณะต่างๆกันไป บางครั้งก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับรถนั้นๆ แต่เมื่อใช้ไประยะนึง องศาที่ตั้งจะทำให้เกิดการสึกหรอของดอกยาง ซึ่งจะนำไปสู่การทำงานที่ไม่สมบูรณ์ ดังนั้นการปรับตำแหน่งองศาให้กลับมาอยู่ในมุมที่เหมาะสม จะช่วยลดปัญหาดังกล่าวลงได้
ผลกระทบของการตั้งองศาล้อ ที่ไม่เหมาะสม:
• ใช้ความเร็วสูงได้ไม่คงที่ ความสามารถในการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงจะลดลง ซึ่งอาจเกิดการลื่นไถลได้ • เมื่อเกิดการสั่นสะเทือนมากๆ อาจส่งผลเสียต่อการสึกหรอของเครื่องยนต์ รวมถึงดอกยางด้วย • ความสามารถในการบังคับ ความคุมทิศทางต่ำลง การเลี้ยวอาจจะให้ความรู้สึกหนักขึ้น หรือเบามากจนเกินไป • การสั่นสะเทือนมากๆ จะส่งผลโดยตรงต่อการบังคับทิศทาง ซึ่งจะทำให้ผู้ขับเกิดอาการเมื่อยล้าได้ • สิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิงมากขึ้น เพราะการขับขี่ที่ไม่มั่นคง ทำให้สูญเสียพลังงานไปค่อนข้างมาก
เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่อไปนี้ ล้อควรจะได้รับการตั้งศูนย์ให้เหมาะสม:
• พวงมาลัยไม่อยู่ในตำแหน่งกลาง ในขณะที่รถวิ่งบนทางตรง • ตัวรถมีการเคลื่อนไปทางซ้าย หรือขวา ในขณะที่คุณปล่อยมือจากพวงมาลัย • เกิดการสึกหรอที่ไม่ปกติ • ระบบช่วงล่างไม่เสถียร • พวงมาลัยเกิดการเหวี่ยงไปซ้ายหรือขวา เมื่อปล่อยมือออกขณะขับขี่ • ตัวรถเสียการควบคุม ขณะขับขี่ • มีเสียงเครื่องยนต์ หรือเสียงดังแปลกๆ เกิดขึ้นและดังขึ้นเรื่อยๆ • หลังจากที่เข้ารับการเปลี่ยนระบบช่วงล่าง • ควรทำการเช็คองศาล้อทุกๆการใช้งานระยะทาง 10,000กิโลเมตร • หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุชนประสานงาน หรือมีการกระแทกกับพื้นถนน
การถ่วงสมดุลล้อ
เมื่อยางและล้ออยู่ในตำแหน่งที่ทำงานได้ไม่สมดุลกัน อาจส่งผลให้ล้อเกิดการเหวี่ยง หรือเด้งขึ้นลงของตัวรถได้
ขั้นตอนในการทำให้ล้อสมดุล:
• ตั้งจุดอ้างอิงบนยาง ให้ตรงกับจุดบนกระทะล้อหรือจุ๊บลมยาง • ใช้อุปกรณ์ที่ถูกต้องทำการถ่วงสมดุล • ถ้าน้ำหนักในการถ่วงเกินกำหนด ให้ปรับองศาของล้อและยางไปประมาณ 180 หรือ 90องศา • ถ้าน้ำหนักยังคงเกินกำหนด ให้ตรวจสอบที่ล้อว่ามีการเสียรูปทรงหรือไม่
ประโยช์ที่ได้จากการถ่วงล้อ:
• ป้องกันการเหวี่ยง หรือสั่นสะเทือนของล้อ • ไม่ส่งผลกระทบต่อการขับขี่ • ลดการสึกหรอของยาง ที่ไม่เป็นไปตามปกติ • ลดการสึกหรอของระบบช่วงล่างที่ไม่เป็นไปตามปกติ
ควรเปลี่ยนยางเมื่อใด
ในสภาวะแวดล้อมปกติ ยางจะมีอายุการใช้งานถึงตามระยะที่ได้ออกแบบมา แต่ก็มีปัจจัยอีกหลายข้อ ที่ส่งผลกระทบให้ยางไม่สามารถใช้ได้ตามอายุที่กำหนด เช่น การทำงาน ร่วมกันของรถทั้งคัน การดูแลรักษายาง สภาพถนน สภาพอากาศ ฯ
สามารถใช้ยางมือสองได้หรือไม่
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยางมือสองเพราะคุณจะไม่มีทางรู้ว่ายางได้ชำรุดเสียหายมาแล้วที่จุดไหนบ้าง โดยอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้
พฤติกรรมการขับขี่ ส่งผลต่ออายุการใช้งานของยาง
เทคนิคในการเพิ่มอายุการใช้งานของยาง
• ไม่ควรขับรถด้วยความเร็วมากเกินไป เพราะจะทำให้ยางมีอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลต่ออัตราการสึกหรอที่เพิ่มขึ้น • หลีกเลี่ยงการเลียวแบบกระทันหัน หรือเข้าโค้งด้วยความเร็วที่สูงเกินไป • หลีกเลี่ยงการออกตัวที่เร็วเกินไป และการเบรคอย่างกระทันหัน • ไม่ควรปีนขอบฟุตบาท ขอบถนน ข้ามหลุมบ่อหรือสิ่งกีดขวางต่างๆ
สิ่งที่ควรทำ เมื่อรับรู้ถึงอาการสั่นสะเทือน
สาเหตุหลัก:
มาจากหลายปัจจัย เช่น เครื่องยนต์ ระบบควบคุมการเลี้ยว หรือตัวยางเองที่ทำให้เกิดการสั่นสะเทือน เราขอแนะนำให้นำรถเข้าตรวจเช็คโดยศูนย์บริการที่เชี่ยวชาญ
ผลกระทบต่อยาง:
การสึกหรอของหน้ายางจะไม่เท่ากัน และมีผลต่ออายุการใช้งาน
สิ่งที่ควรทำ เมื่อรถมีอาการดึงไปทางใดทางหนึ่งขณะขับขี่
สาเหตุหลัก:
การเสื่อมสภาพของระบบเบรค ช่วงล่าง เกียร์ ยาง ฯ
ผลกระทบต่อยาง:
การสึกหรอของหน้ายางจะไม่สมดุล และมีผลต่ออายุการใช้งาน
ทางแก้ไข:
แนะนำให้นำรถเข้าตรวจเช็คโดยศูนย์บริการที่เชี่ยวชาญ
กรณีล้อหมุนฟรี
เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ล้อหมุนฟรีบนพื้นทราย โคลน กรวด หรือพื้นที่เปียกน้ำ จะมีผลกระทบต่อยาง รถยนต์หรือแม้กระทั่งบุคคลในกรณีดังกล่าว ไม่ควรใช้ความเร็วเกิน 55กิโลเมตร/ชั่วโมง และไม่ควรยืนอยู่ใกล้บริเวณล้อ เพราะกำลังหมุนด้วยความเร็ว ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
Top